Pages

Sunday, April 26, 2015

บทเรียนจากการขายของในงานแสดงสินค้าที่ Plearnary Mall

เมื่อต้องขายของจริงๆ ทำธุรกิจจริงๆ จะกำไรหรือขาดทุนก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง

ตอนเด็กๆ ปกติจะมีงานโรงเรียน ที่ตั้งเป็นโต๊ะขายของนู่นนี่นั่น ก็สนุกดี ไม่ต้องทำอะไร ขายๆ เพลินๆ หมดก็ดีใจ ไม่หมดก็ดีใจ เพราะเอาของเหลือมากิน มาแจก มาอะไรต่อได้ คนที่มาซื้อก็คนรู้จักกันในโรงเรียน รุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อน ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง แต่เมื่อเราต้องทำธุรกิจจริงๆ มีตราสินค้า มีผลิตภัณฑ์ มีต้นทุนทั้งทางการเงิน และทางสังคม ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปมากๆ จึงอยากสรุปเป็นบทเรียนสั้นๆแต่ละข้อ เผื่อใครจะสามารถนำไปปรับใช้ได้


plan A plan B ready for contingency plan
ภาพจาก http://smbadvance.com/6-business-planning-essentials

1. การเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญ

การวางแผนในการดำเนินการทั้งการไปจัดแสดงสินค้า การขาย การบันทึกบัญชี ต้องมีแผนสำรองกรณีเกิดเหตุที่ไม่เป็นไปตามที่วางไว้ เพราะถ้าไม่งั้นแล้ว ก็จะทำให้เกิดต้นทุนที่เสียไปฟรีๆอย่าง เงิน เวลา แรงงาน ของที่สั่งมา ที่ผลิตมาล้วนมีต้นทุน ขายไม่ออก ก็มีโอกาสเสียได้ ค่าที่ตั้งสินค้า ค่าเดินทางและอื่นๆ เวลาที่เราเอาไปเพื่อขายสินค้าก็กลายเป็นเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรือบางครั้งอาจก่อให้เกิดโทษเสียด้วยซ้ำ บางครั้งเราก็ไม่ได้ไปขายคนเดียว เอาคนนั้น จ้างคนนี้ไปช่วยนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียแรงงานที่สามารถเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้

นอกจากนี้การไม่มีความพร้อมยังทำให้ภาพลักษณ์ของเราที่ไปขายดูแย่ ซึ่งจะส่งผลต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เราขายอยู่ด้วย ดังนั้นกระบวนการทุกอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบต้องมีการวางแผน จะซื้ออะไร เท่าไหร่ จะไปวางขายสินค้ายังไงบ้าง จะขายอะไร ใช้คนกี่คน ต้องเอาอุปกรณ์อะไรไปบ้าง ราคาจะขายเท่าไหร่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ที่กล่าวมานี้คือสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคร่าวๆเท่านั้น

pick the person
ภาพจาก https://employmentagencyservices.wordpress.com/2014/10/15/info-on-employment-pass-singapore-and-other-immigration-documents/

2. ใช้คนให้ถูกกับงาน 

แม้ว่าจำนวนคนจะมีจำกัด แต่ก็อย่าลืมว่า คุณภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ การให้คนที่ไม่มีทักษะด้านนี้ หรือมีคุณลักษณะที่ไม่สอดรับกับหน้าที่ นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์ อาจทำให้เกิดโทษได้อีกด้วย เพราะนอกจากการทำงานในส่วนนั้นจะไม่เกิดประสิทธิภาพแล้ว ยังก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อลูกค้าหรือคนที่มาพบเห็น เช่นการให้คนที่เป็นคนเก็บตัว เข้าหาคนไม่เก่ง ไปเป็นคนแจกใบปลิวโฆษณา หรือเป็นคนขาย ก็อาจทำให้ลูกค้าไม่เกิดความสนใจในตัวสินค้า ในขณะที่สามารถให้คนคนนี้ไปทำงานอื่นแทนได้เช่นอาจจะเป็นการบันทึกบัญชี การซื้อของใช้เพิ่มเติม หรือก็คือ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนหลังร้านแทนอาจจะทำได้ดีกว่า อย่างไรก็ดี การฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะหลายๆด้านก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ขึ้นอยู่กับโอกาสที่มีการเสนอให้ รวมถึงแรงกระตุ้นภายในของแต่ละบุคคลเองเช่นกัน

เมื่อพูดถึงในชีวิตจริง คงมีบางครั้งที่เราจำเป็นต้องทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่อยากทำ แต่มันก็ถือเป็นบททดสอบและเป็นบทเรียนสำหรับความอดทนของเรา และการแก้ปัญหาในเรื่องเช่นนี้ และบางครั้งก็ถือเป็นโอกาสที่เราจะได้ลองอะไรใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้ยเคย ซึ่งอาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราชอบต่อไปในอนาคตก็ได้ เพราะการพัฒนาก็เป็นกระบวนการที่สำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในอนาคตต่อไป


Thank you in many lanauges text graphic
ภาพจาก http://ubyssey.ca/opinion/linguistic-diversity-ubc-102/

3. ขอบคุณทุกครั้ง

ไม่ว่าในโอกาสใดๆก็ตาม ตอนเขาปฏิเสธเราก็ต้องขอบคุณที่เขารับฟัง ตอนเขาถามข้อมูลแม้จะไม่ซื้อก็ต้องขอบคุณ และยิ่งถ้าเป็นหลังการขายเสร็จสิ้นแล้วก็จำเป็นต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก การขอบคุณจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า เป็นการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน และการให้เกียรติลูกค้า ซึ่งการขอบคุณถ้าเป็นไปได้ให้ก้มหรือโน้มตัวลงพอสมควร พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า "ขอบคุณครับ" จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ด้านการบริการที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งรวมไปถึงการพูดจาให้มีให้หางเสียงทุกครั้งด้วยเช่นกัน

ปกติผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดคำว่าขอบคุณเลยครับ อาจจะด้วยเพราะความเขินอาย แม้ว่าจริงๆแล้วมันจะไม่ใช่เรื่องที่มีผลเสียอะไรเลย แต่เวลาผมอยู่ในฐานะคนให้บริการผมมักจะพูดขอบคุณเสียงดังฟังชัด เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มันเหมือนกับเราได้รับรางวัลแล้วเรารู้สึกดีใจจึงต้องการขอบคุณ อะไรแบบนั้น

สามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในการจัดขายของในงานแสดงสินค้าซึ่งเป็นการทำกิจกรรมเพื่อโฆษณาสินค้าของชุมชนวิสาหกิจบ้านปากานต์ที่กลุ่มที่ผมอยู่ได้ดูแลอยู่ครับ

Thursday, April 23, 2015

คลาสวิชาศิลปะที่น่าจะเรียกได้ว่าสนุกโคตรๆกับอาจารย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวของตัวเองจาก ม.ศิลปากร

A woman stands watching and appreciating arts
ภาพจาก https://www.flickr.com/photos/onepointfour/13094234804

แปลกใจแต่ก็มีความสุขกับการเรียนวิชาศิลปะครั้งนี้


ก่อนอื่นคงต้องขอเกริ่นก่อนว่า วิชาศิลปะมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับผมตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้วมั้ง (สมัยประถมมันยังทำอะไรมั่วๆได้ ทำง่ายๆ แบบเอ้าก้านกล้วยมาจุ่มสี แปะลงกระดาษ มั่วๆก็สวยละ...มั้ง?) ทำให้ค่อนข้างรู้สึกไม่ค่อยชอบมาตั้งแต่เด็กๆ + เราไม่มีทักษะด้านนี้มากนักด้วย

วันนี้ต้องเรียนวิชา Business Etiquette ในหัวข้อ "Art Appreciation" อาจารย์ประจำวิชาได้เชิญอาจารย์พิเศษจากที่อื่นเพื่อมาสอน ซึ่งก็เป็นปกติของวิชานี้อยู่แล้ว ซึ่งวิชานี้ก็ได้เชิญอาจารย์จาก มหาวิทยาลัย ศิลปากร มาสอนครับ


Silpakorn University Logo
ภาพจาก http://www.cc.su.ac.th/home/index.php?option=com_phocagallery&view=category&id=3:2014-07-17-08-31-22&Itemid=495

ก็แอบไปสายนิดหน่อย เข้าไปอาจารย์ก็เริ่ม section แล้ว ตอนแรกก็ไม่รู้อะไรเท่าไหร่ อาจารย์ยังไม่เผยไต๋ออกมา จนกระทั่งผ่านไปสักพัก พอเริ่มเข้าเนื้อหา อาจารย์ก็ยิงทั้งมุกทั้งคำแปลกๆออกมารัวๆ แถมยังพูดแปลกๆอีกด้วย ซึ่งสร้างเสียงเฮฮาจากนักเรียนในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี

เช่น
ใช้คำว่า
ขี้พุ่ง แทนความรู้สึกว่ามันสุดยอดมากๆ แบบสุดยอดจนขี้พุ่ง
ขอบเตียง หมายถึง ขอบใจ
อาจารย์ ชอบพูดว่าไม่ต้องตั้งใจฟังหรอก แต่ขอให้อดทน ระหว่างเรียนจะทำอะไรไปก็ได้ ขอแค่ไม่คุย ซึ่งทำให้ทุกคนตั้งใจฟังที่อาจารย์พูดแบบงงๆ

แสดงความเห็นเกี่ยวกับงานศิลปะแบบตลกๆ แชร์ประสบการณ์ที่ฮามากๆ และยังมีคำพูดอีกเยอะมากที่ทำให้ทั้งคลาสเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ถือว่าเป็นการเรียนศิลปะที่ไม่เครียดเลย แต่จะได้ความรู้อะไรไหมนี่ก็อีกเรื่อง (ฮ่าๆๆๆ)


scream art painting
ภาพจาก http://libguides.blc.edu/content.php?pid=423207&sid=3511796


ถ้าให้จำรายละเอียดว่าอะไรยังไงก็คงไม่ไหว แต่ก็พอรู้คร่าวๆว่า ศิลปะคืออะไร มีไว้ทำไม มีศิลปินคนไหนดังๆบ้าง ก็โอเค แต่แบบ เมืองไหน เกิดวันที่เท่าไหร่ งานลักษณะเป็นแบบไหน อันนี้คงจำไม่ได้

สรุปสาระสำคัญก็คือ เนื้อหาแม้จะสำคัญก็จริง แต่ก็อย่าลืมดูว่าคนที่มารับความรู้จากเรา เขาต้องการเนื้อหาส่วนไหนไปใช้ ต้องการทั้งหมดหรือว่าแค่บางส่วน ต้องการภาพรวมหรือจุดสำคัญจุดใด วิธีการสอนจะต้องสอนด้วยวิธีแบบไหน ให้คนที่มีความคิดอย่างไร เพื่อให้เข้ากันได้ จูนกันติด ให้การสอนดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และได้ผลตามเป้าหมายที่วางไว้นะครับ ซึ่งวิธีคิดแบบนี้ผมเชื่อว่าทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกรูปแบบของการสอน หรือดีที่สุดก็คือการสื่อสารครับ


ขอบคุณอาจารย์มากๆ ที่มาสร้างความสนุกพร้อมกับมอบความรู้ให้กับวิชาที่แสนน่าเบื่อสำหรับผมจนกลายเป็นวิชาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบนี้ครับ :)

ปล. อาจารย์ฮาจริงนะ คอนเฟิร์ม กรามจะค้างตายอยู่ละ 555+

Wednesday, April 22, 2015

ซื้อเยลลี่ปีโป้แบบถ้วยมา แต่พนักงงานดันให้หลอดดูด... ไปไม่เป็นจริงๆ

ผมเชื่อว่าในทุกวันจะต้องมีคนนับแสนนับล้านคนที่ได้ใช้บริการกับร้านค้าสะดวกซื้อแบบ 7 - 11 ซึ่งเป็นร้านค้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดทั้งสัปดาห์ รายการสินค้าที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าไปซื้อก็จะมีตั้งแต่ของทานเล่นเล็กๆน้อยๆอย่างลูกอม ขนมคบเคี้ยว หรือว่าจะเป็นอาหารสักมื้อ จนไปถึงหนังสือสักเล่มหรือแม้กระทั่งกางเกงในก็ยังมีขาย

เรื่องราวของผมเกิดขึ้น ในขณะที่ผมเดินทางกลับบ้าน และเกิดอาการอยากกินของหวานสักอย่างหนึ่งตอนเกือบ 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหาอะไรหวานๆเย็นๆกิน นอกเสียจากจะเข้าร้านสะดวกซื้อ หลังจากเดินมองหาอยู่นาน ชั่งใจกับเงินในกระเป๋าอันน้อยนิด ตัดตัวเลือกแล้วตัดตัวเลือกอีก จนใช้เวลาหลายนาที ผมก็ตัดสินใจซื้อ ปีโป้แบบถ้วยในราคา 8 บาท ซึ่งผมรู้สึกคุ้มค่ามาก (เคยกินไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย ก็อร่อยดี) ผมรีบหยิบปีโป้เพื่อไปต่อแถวเข้าคิวในการชำระเงินค่าสินค้าด้วยความเร่งรีบทั้งอยากกินและอยากกลับบ้านเร็วๆ หลังจากชำระเงินเสร็จก็รีบเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามันเกิดความผิดปกติขึ้นเรียบร้อยแล้ว

เยลลี่ ปีโป้ หลอดดูด
เยลลี่ปีโป้กับหลอดดูด
เมื่อผมกลับมาถึงบ้านวางกระเป๋าจัดการนู่นนี่นั่นเสร็จ ก็หยิบปีโป้ออกมาเพื่อที่จะกินก็เห็นตามภาพเลยครับ... ปีโป้แบบถ้วย เนื้อเหนียวแน่นหนึบ กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ พร้อมหลอดดูด ผมก็ว่า "เอาก็เอา มันก็คงใช้หลอดดูดกินได้นั่นล่ะ" หลังจากนั้นก็ทิ่มหลอด เอาปากครอบดูดเลย แต่เนื้อเยลลี่มันแน่นมาก ไม่สามารถดูดให้ขึ้นผ่านหลอดมาได้ ดูดไปลมก็แทบจะหมดตัว แต่แทนที่ผมจะล้มเลิกความพยายาม ก็ทิ่มหลอดเพื่อทำให้เนื้อเยลลี่มันเป็นชิ้นเล็กๆ คราวนี้ดูดขึ้นครับ แต่รสชาติความอร่อยมันหายไปหมดแล้ว มันกลายเป็นกลิ่นแปลกๆ ซึ่งทำให้รสชาติของปีโป้เปลี่ยนไป และด้วยความที่อะไรดลใจไม่รู้ทำให้ผมก็พยายามกล้ำกลืนฝืนดูดเยลลี่จนหมด ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกๆในชีวิต และไม่แน่ว่าก็อาจจะมีคนอยากลองแบบผม จึงขอเตือนว่าอย่าเลยครับ -_-"

คือผมก็เข้าใจว่าพนักงาน 7-11 สาขาแถวบ้านน่าจะรีบนะ แต่ก็ดูหน่อยไหมว่าสินค้ามันมีลักษณะยังไง คือโอเคมันเหมือนเจเล่ แต่เนื้อข้างในนี่คนละเรื่องนะครับ อาจจะผิดกันคนละครึ่งก็คือผมก็ไม่ระมัดระวังพอทำให้ไม่ได้ดูว่ามีอะไรผิดปกติก่อนออกมาจากร้านค้า ในขณะเดียวกันพนักงานก็ไม่ได้ระมัดระวังพิจารณาว่าอุปกรณ์ที่ตัวเองหยิบให้ลูกค้ามันใช้ได้กับสินค้าที่ลูกค้าซื้อไปหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับคนอื่นๆอีกหลายคนครับ ผมมีตัวอย่างมาให้ดูคร่าวๆสักสองสามภาพ

หลอด ข้าวผัด สินค้าจากร้านสะดวกซื้อ
วิธีการกินข้าวผัดแบบใหม่ ให้ใช้หลอดดูด!
จาก http://pantip.com/topic/32254513
หลอด น้ำยาซักผ้าขาว ร้านสะดวกซื้อ
เบื่อๆก็ดูดเล่นเลยไหมล่ะ!?
จาก http://pantip.com/topic/33249784
หลอด น้ำยาล้างห้องน้ำ สเปรย์กำจัดแมลง ร้านสะดวกซื้อ
คงจะอร่อยน่าดู
จาก http://pantip.com/topic/33249784

ถือว่าเป็นเรื่องขำๆในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าใครพบเจอก็อาจจะแปลกใจพฤติกรรมที่เกิดจากความเคยชินของพนักงานที่ประจำแต่ละสาขาของร้านสะดวกซื้อ 7-11 และอยากจะแนะนำพนักงานร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ให้ตรวจสอบรายการสินค้าให้ดีพร้อมให้อุปกรณ์ที่ถูกต้องแก่ลูกค้าด้วยนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นการสื่อสารอะไรผิดๆ กลายเป็นแช่งอยากให้คุณลูกค้าตายซะเฉยๆก็ได้นะครับ สำหรับวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

#ลาก่อนสติสัมปัญชัญญะทั้งหลาย #ขำๆ

ทำ Resume หรือ CV สวยๆด้วย PowerPoint เพื่อสมัครงาน

resume with keyboard and pen
Image Source: http://www.advancedresources.com/sites/default/files/Resume.jpg

เชื่อว่าทุกคนคงเคยปวดหัวกับการเขียน resume หรือ CV มากันไม่มากก็น้อย เพราะมีทั้งที่ต้องเรียนเพื่อเขียนให้เป็น มีทั้งที่ต้องเอาไปใช้จริงๆ และแน่นอนว่าต้องมีการปรับแต่งอะไรกันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าไปมองของคนอื่นๆที่ทำดูอลังการงานสร้างนี่อยากจะเผาไอกระดาษที่ถืออยู่ในมือทิ้ง พร้อมกับ permanently delete ไฟล์ทิ้งไปซะ แล้วเอาหัวโขกโต๊ะรัวๆ ผมเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ดีครับ เพราะผมเองก็เคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาเหมือนกัน

ประเด็นก็คือผมใช้โปรแกรมพวก photo editing อะไรทั้งหลายได้แบบงูๆปลาๆ เปิด google เอาส่วนมากเพื่อดูวิธีทำ และเนื่องจากผมได้ตามอ่านบล็อคพวก marketing อะไรแบบนี้อยู่ก็จำได้ว่า มีโพสท์หนึ่งที่บอกวิธีการทำ Infographic โดยใช้ PowerPoint ใช่แล้วคุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ โอเคล่ะที่ว่าโปรแกรมมันอาจจะไม่ได้ทำมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้ แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านโปรแกรมทำภาพทำอะไรพวกนี้ ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ผมคุ้นเคยที่สุด ดังนั้นเราก็หยิบยืมเทคนิคนี้มาปรับใช้กับการทำ Resume ใช้เวลาสองสามวันกว่าจะสร้าง ดัดแปลง แก้ไข นู่นนี่จนคิดว่าน่าจะสมบูรณ์ทีสุดแล้วก็ได้ออกมาประมาณนี้



สำหรับใครที่สนใจอยากลองทำนะครับ ก็สามารถเข้าโปรแกรม PowerPoint ได้เลย (ผมใช้ 2013 อยู่)

1. เข้าไปที่ Menu Bar ที่ชื่อว่า Design

2. หาตัวเลือกที่ชื่อว่า Slide Size > เลือก Custom Slide Size...

3. ปรับขนาดตามค่าทีมีอยู่ เป็น A4 หรือขนาดอื่นตามแต่ต้องการ หรือสามารถปรับเองก็ได้นะครับ

4. แล้วก็เลือกให้ Slide เป็นแนวตั้ง จากนั้นก็เริ่มสร้างสรรค์ผลงานตามแต่ต้องการได้เลยครับ

ซึ่งผมก็ได้ใช้ความช่วยเหลือจาก Google / โปรแกรมตัดต่อหรือตกแต่งภาพ/ เว็บแจกรูปฟรีต่างๆ เพื่อช่วยในการทำจนได้ออกมาเป็นผลงานตามภาพนั่นล่ะครับ :)

ปล. ถ้าใช้พวก Photoshop หรือ Illustrator เป็นชีวิตจะสบายมากในการทำ Resume หรือ CV สวยๆ เพราะมันปรับแต่งได้สะดวกกว่าใช้ PowerPoint เยอะมากๆ คณะสายที่ต้องผ่านการเรียนการใช้งานโปรแกรม Editing พวกนี้จึงค่อน้ขางได้เปรียบคนอื่นอยู่ไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าคนโง่อย่างเราๆ จะไม่สามารถเรียนรู้ได้สักหน่อยนะครับ สู้ๆกับการหางานนะครับ

ประสบการณ์จากการเล่นเกมแบบไม่หลับไม่นอน และการค้นหาสาเหตุของปรากฏการณ์ "เล่นเกมไม่ยอมนอน"

sleeping boy and blanket
Image Source: https://www.flickr.com/photos/milele/6704923591

เคยใช่ไหมล่ะครับ กับการนอนดึกเกินเหตุ บางทีอาจจะเลยไปถึงเช้า เวลาคนว่าเรานอนดึกเราก็จะปฏิเสธไปว่า “ไม่ได้นอนดึก นอนเช้าเลยต่างหาก” ซึ่งสาเหตุก็มาจากหลายๆประการ แต่ที่ผมสังเกตกับตัวเอง แล้วก็สรุปว่าสาเหตุของการนอนดึกรวมๆแล้วเกิดจาก “ภาวะลื่นไหล (Flow State)” แต่ว่าที่มาของมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมเราถึงเข้าสู่ภาวะแบบนี้ได้เวลาเล่นเกมกัน และนี่คือคำตอบสำหรับตัวของผมเองครับ
สำหรับใครที่ไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจว่าความลื่นไหลที่ผมกำลังหมายถึงเนี่ยมันคืออะไร ผมจะขอยกตัวอย่างสั้นๆ ให้ทุกคนลองนึกถึงสมัยเด็กๆ (อาจจะต้องเป็นคนที่ชอบทำการบ้าน) ตอนที่กำลังเรียนในคาบ คุณครูก็ได้สอนเนื้อหาวิชา และแน่นอนว่าช่วงกลางคาบหรือท้ายคาบก็เริ่มสั่งให้ทำแบบฝึกหัด (ที่กลายเป็นการบ้านในท้ายที่สุด) ในขณะที่เรากำลังทำแบบฝึกหัดอยู่อย่างเพลิดเพลินซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยากยิ่ง เพราะที่บ้านก็มีเกมมีการ์ตูนรอเราอยู่ แต่เราก็สนุกกับมัน ไม่ว่าเพื่อนๆจะชวนกลับบ้าน ไม่ว่าคุณครูจะไล่ให้กลับยังไง เราก็ยังฝืนจะพยายามทำให้ได้จนเสร็จ และปรากฎการณ์แบบนี้นั่นล่ะครับที่เรียกว่า “ภาวะลื่นไหล”
ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับด้านการบริหาร/จิตวิทยา แล้วก็เจอเรื่องนี้เขียนไว้เหมือนกัน ในหนังสือได้พูดไว้ประมาณว่า ภาวะลื่นไหล จะทำให้การทำงานของเรามีผลิตภาพสูงขึ้น เราจะทำงานต่างๆได้ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด และมีวิธีการที่ผ่านการวิจัยขึ้นมาว่าสามารถช่วยให้เราเข้าถึงภาวะดังกล่าวได้ง่ายขึ้น และมันก็ค่อนข้างนำมาใช้ได้กับเรื่องราวของการเล่นเกมเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึงเกมที่ดีหรือที่สนุก เกมเหล่านี้ล้วนมีลักษณะที่ช่วยให้เราเข้าสู่ภาวะลื่นไหลได้ทั้งสิ้น องค์ประกอบแรกคือความท้าทาย ความท้าทายไม่ใช่แค่ว่ามีระดับความยากนะครับ แต่จะต้องเป็นการออกแบบระดับความยากให้เหมะาสม ดังนั้นเกมไหนที่ยากเกินไปก็ไม่มีความท้าทาย เพราะไม่ชวนให้ผู้เล่นพยายามที่จะแข่งขันและติดอยู่กับเรื่องราวในเกม ในขณะที่หากเกมง่ายเกินไป คนก็จะเบื่อและเลิกเล่นเช่นเดียวกัน เมื่อเกมมีระดับความท้าทายที่เหมาะสมจะทำให้เกิดองค์ประกอบที่สองตามมาคือการเรียนรู้และพัฒนาการ หรือความพยายามในการฝึกฝนและพัฒนาทักษะและฝีมือของตัวเองเพื่อเอาชนะความท้าทาย ความพยายามนี้จะทำให้เกิดความทุ่มเทและความตั้งใจต่อการเล่นเกม(การทำงาน)ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าสู่ภาวะลื่นไหลได้ องค์ประกอบที่สามคือความน่าหลงใหล เกมที่มีความน่าหลงใหลจะช่วยดึงความสนใจของเราให้มุ่งมั่นอยู่ที่เป้าหมายหรืออยู่ที่สิ่งที่กำลังทำ ทุ่มเทเพื่อให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งหากเรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทให้กับสิ่งใดมากๆ ก็จะทำให้เราเข้าใกล้ ภาวะลื่นไหล มากขึ้น
จากที่พูดถึงมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเกมหรืองานใดๆ หากมีองค์ประกอบสามอย่างนี้ ก็จะช่วยให้คนเล่นหรือคนที่ทำงาน มีโอกาสเข้าสู่ภาวะลื่นไหลได้สูงกว่าเกมที่ไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ และเมื่อเข้าสู่ภาวะลื่นไหล ความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ก็แลกมาด้วยแรงกายและแรงใจ รวมไปถึงเวลาอีกด้วย ทั้งนี้แม้ว่าเราอยู่ในภาวะลื่นไหลก็ใช่ว่าร่างกายของเราจะทนรับการใช้งานหนักติดต่อกันได้ แรกๆอาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็อาจจะส่งผลเสียให้เห็นเช่นกัน
ย้อนกลับมาที่การเล่นเกมแบบไม่หลับไม่นอนก็คือการที่เราอยู่ในภาวะลื่นไหลในการเล่นเกม จึงทำให้เรารู้สึกสนุกและติดพันกับการเล่นมากเสียจนทุ่มเทให้กับเกม เราอาจจะได้ความสนุก ความเมามันในช่วงแรกๆแต่เมื่อมีครั้งที่สองครั้งที่สาม โดยไม่มีการหยุดพัก ร่างกายของเราก็จะเริ่มส่งสัญญาณบอกให้เราต้องหลับเพื่อให้พักบ้างนั่นเอง ขนาดเครื่องจักรทำจากวัสดุอย่างดีใช้งานเรื่อยๆไม่หยุดพักมันก็ยังมีเสื่อมสภาพต้องมีการซ่อมแซมบำรุง ร่างกายคนก็เช่นเดียวกันต้องการการบำรุงส่วนที่สึกหรอ และกระบวนการนั้นสำหรับมนุษย์อย่างหนึ่งเลยก็คือ “การนอนหลับ”
สำหรับใครที่อ่านจนจบ ก็อยากแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าโหมทำงานใดๆหนักจนเกินไป แบ่งเวลาในการพักผ่อนบ้าง เพื่อที่ช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์จะยังคงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นเวลาแห่งการเสื่อมสภาพของร่างกายนะครับ หากเรารู้จักใช้ภาวะลื่นไหลอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆของเราดีขึ้นและมีความสม่ำเสมอ พร้อมสุขภาพที่แข็งแรง สมองปลอดโปร่งครับ ขอฝากไว้เท่านี้