สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผม ChoiCer จะมาเล่าประสบการณ์ในการตรวจโรคก่อนเกณฑ์ทหารปี 2561 ครับ ผมเชื่อว่าหลายท่านคงสงสัยหรือมีความกังวลว่ากระบวนการมันจะเป็นอย่างไร ต้องทำอะไรบ้าง วันนี้ก็จะได้เข้าใจหรือเห็นภาพกันมากขึ้นนั่นเองครับ ก่อนอื่นเลยเดี๋ยวจะให้ดูประกาศจาก รพ. พระมงกุฎเกล้าเกี่ยวกับการให้บริการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารกันก่อนเลย
ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารคร่าวๆ
จากประกาศอันเก่า จะเห็นว่าการให้บริการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารจะจัดในช่วง ต.ค. - ก.พ. ในทุกๆปีนะครับ และมีโรงพยาบาลที่สามารถให้บริการได้ทั้งหมด 20 แห่ง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมคลิกที่นี่) ซึ่งสำหรับตัวผมที่อาศัยในกรุงเทพฯจึงเดินทางไปที่ รพ. พระมงกุฎเกล้านั่นเอง อย่างไรก็ดีผู้อ่านที่จะขอรับบริการในปีถัดๆไปสมควรที่จะโทรถามทาง รพ. ที่จะเข้าไปรับบริการ หรือขอข้อมูลก่อนที่จะเข้าไปนะครับ เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่ได้มีการประกาศก็จะได้ทราบล่วงหน้า อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องไปตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหาร เพราะจริงๆตอนที่ไปที่จุดที่ตรวจเลือกในการเกณฑ์ทหารก็มีการตรวจร่างกายเหมือนกัน คำตอบก็คือการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารจะต้องมีเครื่องมือเฉพาะทางสำหรับโรคแต่ละประเภทเช่นโรคเกี่ยวกับดวงตา กับโรคที่เกี่ยวกับหู จะใช้เครื่องมือไม่เหมือนกัน และมีความเฉพาะทางในการตรวจโรค จึงต้องดำเนินการที่โรงพยาบาล ไม่สามารถดำเนินการที่จุดตรวจเลือกได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่หากตรวจพบจะถูกจัดอยู่ในประเภทที่ 4 คือเป็นโรคที่ขัดต่อการรับราชการทหารนั่นเอง (ดูรายชื่อโรคที่ขัดต่อการรับราชการทหารคลิกที่นี่)
โอเคก็เอาเป็นว่าอธิบายเป็นความรู้คร่าวๆพอหอมปากหอมคอจากนี้ไปจะเป็นการผจญภัยเข้าสู่ดินแดนที่ผมก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปมาก่อน ฮ่าๆ
การเดินทาง / กระบวนการและขั้นตอนในการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหาร
ผมออกเดินทางไปขอรับบริการตรวจโรคกับโรงพยาบาลตั้งแต่ประมาณ 6 โมงเช้าในวันพุธที่ 1 พ.ย. 60 โดยตั้งความหวังว่าจะต้องถึงที่หมายในช่วงเวลาประมาณ 7 โมงเช้า (จากบางแค ไปที่อนุเสาวรีย์) ทั้งนี้ขึ้่นอยู่กับโรคที่ต้องการไปตรวจด้วยนะครับ ซึ่งทางพยาบาลคัดกรองจะเป็นคนถามว่าต้องการตรวจโรคด้านไหน หรือตรวจเกี่ยวกับอะไร ก็จะส่งเราไปแผนกดังกล่าว สำหรับตัวผมเองผมมาตรวจโรคเกี่ยวกับสายตาครับ เพราะผมมีสายตาสั้นใกล้เคียงกับค่าที่กฎกระทรวงกำหนดว่าขัดต่อการรับราชการทหาร หรือก็คือสายตาสั้นมากกว่า 8 ไดออปเตอร์ (-8.00 หรือคนจะคุ้นกับการเรียกว่า 800 มากกว่า)
การเดินทางเป็นไปตามแผนการ ผมถึงที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าประมาณ 7 โมง หลังจากเดินงมทางจากสถานี BTS อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิด้วยความไม่คุ้นเคย เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลให้เข้าไปที่ตึก 'อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา' จะเป็นตึกใหญ่ ผมไปถึงตอนนั้นก็มีผู้ป่วยมานั่งกันอยู่เยอะมากแล้วครับ เมื่อมาถึงให้ไปที่แผนกคัดกรอง มองหาป้ายกันดีๆ ก็จะมีพยาบาลประจำการอยู่ ต่อคิวแล้วก็ติดต่อเจ้าหน้าที่บอกว่าจะขอรับการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารครับ พยาบาลก็จะทำการสอบถามข้อมูลก็ตอบตามความเป็นจริงไป หลังจากนั้นพยาบาลจะขอเอกสารที่จำเป็นในการขอรับการตรวจโรคก่อนเกณฑ์ทหารซึ่งมีรายการดังนี้ครับ
1. รูปถ่ายหน้าตรง ไม่ใส่หมวก ไม่สวมแว่นตา ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
2. สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 2 ฉบับ พร้อมบัตรจริง
3. สำเนาใบสด.9 จำนวน 2 ฉบับ
4. สำเนาใบสด.35 จำนวน 2 ฉบับ
**สำเนาทุกฉบับถ่ายเฉพาะด้านหน้า และเป็นแนวตรง**
อย่างอื่นที่ผมแนะนำให้เตรียมไปคือ
1. เอกสารตัวจริงเผื่อมีอะไรผิดพลาดครับการเดินทางเป็นไปตามแผนการ ผมถึงที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าประมาณ 7 โมง หลังจากเดินงมทางจากสถานี BTS อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิด้วยความไม่คุ้นเคย เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาลให้เข้าไปที่ตึก 'อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา' จะเป็นตึกใหญ่ ผมไปถึงตอนนั้นก็มีผู้ป่วยมานั่งกันอยู่เยอะมากแล้วครับ เมื่อมาถึงให้ไปที่แผนกคัดกรอง มองหาป้ายกันดีๆ ก็จะมีพยาบาลประจำการอยู่ ต่อคิวแล้วก็ติดต่อเจ้าหน้าที่บอกว่าจะขอรับการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารครับ พยาบาลก็จะทำการสอบถามข้อมูลก็ตอบตามความเป็นจริงไป หลังจากนั้นพยาบาลจะขอเอกสารที่จำเป็นในการขอรับการตรวจโรคก่อนเกณฑ์ทหารซึ่งมีรายการดังนี้ครับ
1. รูปถ่ายหน้าตรง ไม่ใส่หมวก ไม่สวมแว่นตา ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
2. สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 2 ฉบับ พร้อมบัตรจริง
3. สำเนาใบสด.9 จำนวน 2 ฉบับ
4. สำเนาใบสด.35 จำนวน 2 ฉบับ
**สำเนาทุกฉบับถ่ายเฉพาะด้านหน้า และเป็นแนวตรง**
อย่างอื่นที่ผมแนะนำให้เตรียมไปคือ
2. เอกสารเกี่ยวกับการตรวจโรคกับโรงพยาบาลอื่นๆมาก่อน เผื่อได้ใช้ครับ
3. เงินค่าตรวจ 200 บาท (ไม่แน่ใจว่าแผนกอื่นจะเท่าไหร่ครับ ของผมจักษุกรรมคิดค่าบริการเท่านี้)
เมื่อพยาบาลตรวจสอบเรียบร้อยก็จะยื่นใบประวัติผู้ป่วยใหม่ให้กรอก (หากเคยมีประวัติที่โรงพยาบาลอยู่แล้วน่าจะไม่ต้องนะครับ) ก็ไปกรอกให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับมาพบพยาบาลที่แผนกคัดกรองอีกครั้ง ก่อนจะต้องไปที่ช่อง 14 'ทำบัตรใหม่ ทหารและครอบครัว' ยื่นเอกสารแล้วก็รอเวลาก็ขึ้นอยู่กับคิว ของผมได้ภายใน 5 นาที คิวประมาณคนสองคน ก็จะได้แฟ้มเอกสารและบัตรประจำตัวผู้ป่วยมา จากนั้นก็จะได้รับคำแนะนำให้ไปชั้นที่มีแผนกที่จะทำการตรวจโรคให้เรา สำหรับแผนกจักษุกรรมอยู่ที่ชั้น 6 ครับ ก็ขึ้นลิฟต์มาและเดินไปหาเจ้าหน้าที่ซึ่งจะทำการจัดคิวให้ (ไปก่อนเวลาเยอะๆก็จะได้คิวแรกๆ เพราะแผนกเปิดให้บริการตามเวลาราชการ 8 โมงเช้า ไปก่อนก็รอนานเหมือนกัน แต่ก็จะได้คิวแรกๆ) ยื่นเอกสารให้เขาและรอเรียกชื่อ ก่อนหน้านั้นก็อย่าลืมไปตรวจความดันโลหิตด้วย เครื่องอยู่ข้างๆกันเลยทีเดียว เก็บใบผลการวัดความดันไว้ให้ดีด้วยเด้อ
จากนั้นก็ รอ รอ และ รอ จนกว่าจะถูกเรียกชื่อ ผมมาถึงขั้นตอนนี้ตอน 7:25 ว่างไปครึ่งชั่วโมง จะควักมือถือมาเล่น หาหนังสือสักเล่มมาอ่าน ก็ตามสบาย เพราะยังไงก็ต้องรอจนกว่าจะถึง 8:00 ถึงจะเริ่มให้บริการ ณ ตอนนั้นคือมีคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้วนับคร่าวๆได้ประมาณ 50-60 คน ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันว่าจะต้องรอคิวนานแน่ๆ แต่เมื่อเปิดให้บริการปุ๊บภายในประมาณ 8 นาทีก็ถูกเรียกชื่อแล้ว ถือว่าเร็วใช้ได้ เมื่อถูกเรียกชื่อพนักงานจะบอกให้ไปช่องเลขที่ 1 (เป็นช่องสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีนัด ก็คือผู้ป่วยใหม่นั่นเอง) พนักงานก็สอบถามข้อมูลและตรวจเอกสารเพื่อความถูกต้อง จะได้ไม่มีปัญหาทีหลังเนอะ จากนี้ก็จะเป็นขั้นตอนกระบวนการตรวจโรคสายตาเพื่อขอใบรับรองแพทย์ในการยกเว้นการเกณฑ์ทหารกันละ ซึ่งจะแบ่งเป็นห้องๆดังนี้
ห้องแรก ห้องวัดสายตา เป็นห้องที่จะตรวจระยะสายตาด้วยการให้มองแผ่นป้ายสเนลเล่น อ้ะหรือถ้าชื่อนี้ไม่คุ้นเดี๋ยวจะให้ดูหน้าตาของแผ่นป้ายสักหน่อย (ของจริงจะไม่ได้หน้าตาแบบนี้เป๊ะๆนะ) คิวก็รอไม่นานไล่ไปเรื่อยๆแป๊ปเดียวก็ถึงคิวครับ
การตรวจก็เจ้าหน้าที่จะให้เรามองแผ่นป้ายนี้ด้วยตาเปล่าก่อน (ถ้าใส่แว่นก็ถอดแว่นซะสิ!) โดยจะปิดตามองทีละข้าง ซึ่งของผมตาเปล่าทั้งสองข้างคือมองไม่รู้เรื่องเลยแม้จะเป็นตัวใหญ่สุดก็ตาม เราก็บอกตามความเป็นจริงนะครับ คือถ้ามันเบลอๆ ลางๆ อ่านแบบต้องเดาอะก็บอกเลยว่าไม่เห็นครับ ไม่จำเป็นต้องพยายามอ่านให้ออก จากนั้นก็จะตรวจอีกครั้งแต่ให้ใส่แว่นสายตาได้ ก็ทำซ้ำอีกรอบ อ่านโดยใช้ตาทีละข้าง เจ้าหน้าที่ก็จะจดบันทึกของเขาไป เสร็จแล้วก็ไปสถานีต่อไปกันเลย
ห้องที่สอง (ที่ไม่ได้อยู่ในห้อง) เป็นการวัดความดันลูกตาครับ เอ้อ ผมลืมเล่าไปว่าที่นี่จะมีธรรมเนียมในการต่อคิวคือการโยนแฟ้มใส่ถาดแล้วรอเรียกชื่อ ทำตัวให้ชินแล้วก็เดินไปวางแฟ้มอย่างนอบน้อมครับ และภาวนา ฮ่าๆๆ แต่สถานีนี้เร็วเช่นเดียวกันกับห้องแรก การตรวจคือการให้เรานั่งประจำที่เครื่องครับ วางคางที่แท่นและแนบหน้าผากให้ชิดกับแท่นเช่นเดียวกัน คุณหมอก็จะทำการเป่าลมใส่ตาของคุณ ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด มันเป่าลมใส่ตาโดยที่เราต้องพยายามแหกตาให้เครื่องมันเป่านี่ล่ะครับ ถ้าใครอยากฝึกก็หาเพื่อนที่ปากสะอาดๆ แล้วพยายามลืมตากว้างๆให้มันเป่าลมใส่ดูครับ ผมสะดุ้งทั้งตาซ้ายตาขวาที่เครื่องเป่า เจ้าหน้าที่ก็จะบันทึกผลตามที่หมอบอกแล้วก็คืนแฟ้มให้เรา
ห้องที่สาม เป็นการวัดแว่นสายตา เบสิกมากสำหรับคนที่ปกติใส่แว่นสายตา ก็คือจะมีเครื่องวัดสายตาที่เป็นการมองภาพผ่านตาทีละข้างโดยให้โฟกัสกับวัตถุตรงกลางภาพและเครื่องจะปรับเลนส์จนเรามองเห็นภาพชัดแบบอัตโนมัติ โดยจะทำสองรอบคือแบบผ่อนคลาย กับแบบพยายามเกร็ง จากนั้นสำหรับผู้ที่ไม่มีแว่นสายตาคุณหมอจะใช้เครื่องมือที่เป็นแว่นที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้รัวๆ แต่ถ้ามีแว่นสายตาเจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องมือที่ตรวจค่าสายตาของแว่นซึ่งผมก็ใช้วิธีนี้ล่ะเพราะปกติต้องใส่แว่นตลอดจึงจะมองเห็นชัด คาดว่าน่าจะเพื่อเปรียบเทียบค่าสายตากับเครื่องและผลจากสถานีแรกด้วยครับ
ห้องที่สี่ (สถานีสุดท้าย) คือห้องขยายม่านตา เป็นจุดที่รอคิวนานที่สุด และข้อดีของการรอคิวเมื่อเช้าจะสัมฤทธิ์ผลตอนนี้กล่าวคือถ้าเรามาแต่เช้า ก็จะได้คิวเข้ามาที่กระบวนการต่างๆก่อนหน้าเร็ว และจะได้มารอคิวตรงห้องนี้เร็วทำให้เสร็จภายในตอนเช้า (ไม่งั้นคิวอาจจะไปตกที่ตอนบ่ายแทน ก็จะต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก) แต่ถึงแม้จะได้คิวเช้าก็ตามตัวผมนั้นต้องรอคิวที่จุดสถานีสุดท้ายแห่งนี้ถึง 2 ชม. กว่าจะถึงคิวครับ โดยจะมีการแบ่งโซนห้องตรวจ และมีการแบ่งคิวตามแต่ละห้องตรวจ ตัวผมได้คิวที่ 7 ของห้องตรวจที่ 16 เมื่อถึงคิวก็เข้าไปที่ห้อง จะมีแพทย์เป็นคนทำการตรวจ ผมก็ยื่นแฟ้่มเอกสารให้ และถอดแว่นรอได้เลยสำหรับใครที่ใส่แว่น เพราะจะมีเครื่องที่เราจะต้องเอาคางวางและหน้าผากชิดเช่นเดิม แต่คราวนี้แพทย์จะฉายแสงใส่ดวงตาของเรา (ใครที่คุ้นชินกับการเล่นเอาไฟฉายจ่อตาบ่อยๆ อาจจะเฉยๆก็ได้ อย่างผมเป็นต้น) ซึ่งจะทำให้เรามึนๆเล็กน้อยหลังจากฉายเสร็จ ขั้นตอนการฉายแสงสลับข้างไปมาใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 3 นาที แพทย์ก็จะสรุปผลบนเอกสาร ซึ่งถ้าผมอ่านลายมือหวัดๆของคุณหมอไม่ผิดก็คือ 'สายตาสั้น > 8 D' (สายตาสั้นมากกว่า 8 ไดออปเตอร์) เขียนงี้จริงๆนะ จากนั้นเอาแฟ้มให้พยาบาลที่เป็นคนจัดคิวให้เราสำหรับห้องที่สี่ พยาบาลก็จะดูและก็ดำเนินการตามขั้นตอนของเขา เดาว่าคือการลงนามของคุณหมอเพื่อรับรองผลด้วยการใช้ตราปั้ม
ห้องที่สอง (ที่ไม่ได้อยู่ในห้อง) เป็นการวัดความดันลูกตาครับ เอ้อ ผมลืมเล่าไปว่าที่นี่จะมีธรรมเนียมในการต่อคิวคือการโยนแฟ้มใส่ถาดแล้วรอเรียกชื่อ ทำตัวให้ชินแล้วก็เดินไปวางแฟ้มอย่างนอบน้อมครับ และภาวนา ฮ่าๆๆ แต่สถานีนี้เร็วเช่นเดียวกันกับห้องแรก การตรวจคือการให้เรานั่งประจำที่เครื่องครับ วางคางที่แท่นและแนบหน้าผากให้ชิดกับแท่นเช่นเดียวกัน คุณหมอก็จะทำการเป่าลมใส่ตาของคุณ ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด มันเป่าลมใส่ตาโดยที่เราต้องพยายามแหกตาให้เครื่องมันเป่านี่ล่ะครับ ถ้าใครอยากฝึกก็หาเพื่อนที่ปากสะอาดๆ แล้วพยายามลืมตากว้างๆให้มันเป่าลมใส่ดูครับ ผมสะดุ้งทั้งตาซ้ายตาขวาที่เครื่องเป่า เจ้าหน้าที่ก็จะบันทึกผลตามที่หมอบอกแล้วก็คืนแฟ้มให้เรา
ห้องที่สาม เป็นการวัดแว่นสายตา เบสิกมากสำหรับคนที่ปกติใส่แว่นสายตา ก็คือจะมีเครื่องวัดสายตาที่เป็นการมองภาพผ่านตาทีละข้างโดยให้โฟกัสกับวัตถุตรงกลางภาพและเครื่องจะปรับเลนส์จนเรามองเห็นภาพชัดแบบอัตโนมัติ โดยจะทำสองรอบคือแบบผ่อนคลาย กับแบบพยายามเกร็ง จากนั้นสำหรับผู้ที่ไม่มีแว่นสายตาคุณหมอจะใช้เครื่องมือที่เป็นแว่นที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้รัวๆ แต่ถ้ามีแว่นสายตาเจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องมือที่ตรวจค่าสายตาของแว่นซึ่งผมก็ใช้วิธีนี้ล่ะเพราะปกติต้องใส่แว่นตลอดจึงจะมองเห็นชัด คาดว่าน่าจะเพื่อเปรียบเทียบค่าสายตากับเครื่องและผลจากสถานีแรกด้วยครับ
ห้องที่สี่ (สถานีสุดท้าย) คือห้องขยายม่านตา เป็นจุดที่รอคิวนานที่สุด และข้อดีของการรอคิวเมื่อเช้าจะสัมฤทธิ์ผลตอนนี้กล่าวคือถ้าเรามาแต่เช้า ก็จะได้คิวเข้ามาที่กระบวนการต่างๆก่อนหน้าเร็ว และจะได้มารอคิวตรงห้องนี้เร็วทำให้เสร็จภายในตอนเช้า (ไม่งั้นคิวอาจจะไปตกที่ตอนบ่ายแทน ก็จะต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก) แต่ถึงแม้จะได้คิวเช้าก็ตามตัวผมนั้นต้องรอคิวที่จุดสถานีสุดท้ายแห่งนี้ถึง 2 ชม. กว่าจะถึงคิวครับ โดยจะมีการแบ่งโซนห้องตรวจ และมีการแบ่งคิวตามแต่ละห้องตรวจ ตัวผมได้คิวที่ 7 ของห้องตรวจที่ 16 เมื่อถึงคิวก็เข้าไปที่ห้อง จะมีแพทย์เป็นคนทำการตรวจ ผมก็ยื่นแฟ้่มเอกสารให้ และถอดแว่นรอได้เลยสำหรับใครที่ใส่แว่น เพราะจะมีเครื่องที่เราจะต้องเอาคางวางและหน้าผากชิดเช่นเดิม แต่คราวนี้แพทย์จะฉายแสงใส่ดวงตาของเรา (ใครที่คุ้นชินกับการเล่นเอาไฟฉายจ่อตาบ่อยๆ อาจจะเฉยๆก็ได้ อย่างผมเป็นต้น) ซึ่งจะทำให้เรามึนๆเล็กน้อยหลังจากฉายเสร็จ ขั้นตอนการฉายแสงสลับข้างไปมาใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 3 นาที แพทย์ก็จะสรุปผลบนเอกสาร ซึ่งถ้าผมอ่านลายมือหวัดๆของคุณหมอไม่ผิดก็คือ 'สายตาสั้น > 8 D' (สายตาสั้นมากกว่า 8 ไดออปเตอร์) เขียนงี้จริงๆนะ จากนั้นเอาแฟ้มให้พยาบาลที่เป็นคนจัดคิวให้เราสำหรับห้องที่สี่ พยาบาลก็จะดูและก็ดำเนินการตามขั้นตอนของเขา เดาว่าคือการลงนามของคุณหมอเพื่อรับรองผลด้วยการใช้ตราปั้ม
ช่วงการทำธุรกรรมจ่ายเงินและรับใบนัด
เสร็จแล้วให้มาถึงช่องคิดค่าบริการ/ค่ารักษาพยาบาล แน่นอนว่าให้โยนแฟ้มไปในถาด (หย่อนแฟ้มนั่นล่ะ) แล้วก็รอคิวเช่นเดิม ตรงนี้ไม่นานมาก เรียกชื่อปุ๊บก็ไปรับใบแจ้งหนี้มาซะ แล้วก็ไปที่ช่องที่ 1 ที่เราติดต่อตอนแรกสุด เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ไปจ่ายเงินที่ แผนกยา ออกจากแผนกจักษุกรรมไปเลี้ยวซ้ายก็จะเจอ ป้ายใหญ่อยู่นะ ค่าเสียหายทั้งหมดรวมทั้งสิ้น 200 บาทถ้วน เตรียมเงินมาให้พร้อมนะจ้ะ ชำระเงินเสร็จจะได้ใบเสร็จก็เอามาให้พนักงานที่ช่องที่ 1 ก็จะได้ใบนัดมารับใบรับรองแพทย์เพื่อใช้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ในวันเกณฑ์ทหารของปีนั้นๆแล้วครับ พนักงานจะสอบถามเบอร์โทรศัพท์ (มีไว้ใช้กรณีที่คณะกรรมการตรวจเพื่อรับรองใบรับรองแพทย์ ต้องการเรียกให้มาตรวจโรคซ้ำอีกครั้ง อารมณ์ว่าไม่เชื่อผลนั่นล่ะ ดังนั้นก็ภาวนาว่าอย่าถูกเรียกเลยนะ)
จบปิ๊งก็มารับใบรับรองแพทย์ในวันนัดครับ ของผมได้วันนัดคือ 12 ธ.ค. 60 สาเหตุก็คือความพีคช่วงที่ผมไปนั้น เป็นช่วงที่ใกล้จะมีการปิดแผนกเพื่อทาสีตั้งแต่ 3 พ.ย. - 8 ธ.ค. 60 ทำให้ไม่เปิดให้บริการสำหรับบุคคลภายนอก เรียกว่าถ้าผมไปช้ากว่านั้นอีกไม่กี่วันจะต้องรอไปเดือนธันวาคมนู่นกว่าจะได้ตรวจ แต่ก็ทำให้ถูกเลื่อนการรับใบรับรองแพทย์ไปไกลเลยครับ (จริงๆคงจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ ผมเดานะ) ทั้งนี้ในการมารับใบรับรองแพทย์จะต้องเอาบัตรประชาชนตัวจริงมายืนยันตัวด้วย และไม่สามารถให้ผู้อื่นมารับแทนได้โดยเด็ดขาด เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นกับการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารแล้วล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมก็คงจะกลายเป็นบุคคลประเภทที่ 4 และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารอีกต่อไปครับ
จบปิ๊งก็มารับใบรับรองแพทย์ในวันนัดครับ ของผมได้วันนัดคือ 12 ธ.ค. 60 สาเหตุก็คือความพีคช่วงที่ผมไปนั้น เป็นช่วงที่ใกล้จะมีการปิดแผนกเพื่อทาสีตั้งแต่ 3 พ.ย. - 8 ธ.ค. 60 ทำให้ไม่เปิดให้บริการสำหรับบุคคลภายนอก เรียกว่าถ้าผมไปช้ากว่านั้นอีกไม่กี่วันจะต้องรอไปเดือนธันวาคมนู่นกว่าจะได้ตรวจ แต่ก็ทำให้ถูกเลื่อนการรับใบรับรองแพทย์ไปไกลเลยครับ (จริงๆคงจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ ผมเดานะ) ทั้งนี้ในการมารับใบรับรองแพทย์จะต้องเอาบัตรประชาชนตัวจริงมายืนยันตัวด้วย และไม่สามารถให้ผู้อื่นมารับแทนได้โดยเด็ดขาด เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นกับการตรวจโรคก่อนการเกณฑ์ทหารแล้วล่ะครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมก็คงจะกลายเป็นบุคคลประเภทที่ 4 และได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารอีกต่อไปครับ
ปล. ผมใช้เวลาตั้งแต่ 7:00 จนเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนั้นถึง 11:29 เท่ากับว่าใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่งครับ ดังนั้นวางแผนการเดินทางดีๆด้วยครับ ถ้ามาช้าคิวจะยิ่งเยอะ จะยิ่งเสร็จช้า เผลอๆอาจจะถูกนัดให้มาวันพรุ่งนี้แทนด้วยครับ
ปล.2 ทางโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปหรือวิดีโอครับ ภาพประกอบขั้นตอนต่างๆภายในโรงพยาบาลจึงไม่มีครับ
ช่วงเข้าสู่กระบวนการเกณฑ์ทหารประจำปี 2561
อัพเดทล่าสุด: 8 เมษายน 2561 เป็นวันที่หมายเรียกได้กำหนดให้ผมมาเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งผมเป็นคนที่เคยผ่อนผันมาก่อน จะต้องทำการสละสิทธิ์ผ่อนผันก่อน จากนั้นจึงค่อยรอเรียกชื่อเพื่อเข้ารับการตรวจเลือก ซึ่งจะต้องรอกลุ่มที่ไม่เคยผ่อนผัน และไม่ใช้สิทธิ์ผ่อนผันเข้ารับการตรวจเลือกทั้งหมดให้เสร็จก่อน
ผมไปถึงที่จุดคัดเลือกตามที่กำหนดตอนประมาณ 8 โมงเช้า พร้อมหลักฐานสำคัญ 4 อย่าง
(1) บัตรประจำตัวประชาชน
(2) ใบสำคัญ สด.9
(3) หมายเรียกประจำปี 2561
(4) ใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
กว่าจะจบสิ้นกระบวนความของการขอสละสิทธิ์ผ่อนผันและเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกก็ใช้เวลาไปจนถึงประมาณเที่ยง ทุกอย่างดำเนินตามปกติ ก็คือใช้หลักฐาน 3 อย่างแรก มาตลอด จนกระทั่งเราเข้าสู่กระบวนการตรวจเลือกจริงๆ หลังจากได้รับการเรียกชื่อ ปั้มลายนิ้วมือ และนั่งรอการเรียกให้เข้าสู่จุดตรวจร่างกาย ไม่นานผมก็มาอยู่ที่จุดตรวจร่างกาย สำหรับจุดตรวจของผมจะมีนายทหารสอบถามว่าใครมีโรคประจำตัว หรืออะไรไหม จุดนี้ล่ะครับที่เราต้องแจกว่าเรามีใบรับรองแพทย์ เป็นโรคนั่นนี่ตามแต่บุคคล นายทหารก็จะนำเราไปตรวจกับหมอทหาร ซึ่งถ้าเรามีใบรับรองแพทย์จาก รพ. ที่สังกัดกองทัพ หมอทหารก็จะยึดตามความเห็นในใบรับรองแพทย์ อย่างของผมก็คือ "สายตาสั้นเกิน 8 ไดออปเตอร์ ถือว่าพิการตามกฎกระทรวง ...." เขาก็กรอกตามนั้น และเนื่องจากค่าสายตาดังกล่าวมันขัดต่อการรับราชการทหาร เป็นบุคคลประเภทที่ 4 หลังจากบันทึุกเอกสารเสร็จ เขาก็จะให้เราไปรอที่แถวบุคคลประเภทที่ 4 ก็ถือว่าเรียบร้อย
จากนี้ก็รอเรียกชื่อ ปล่อยตัว พร้อมกับได้ใบที่ระบุว่าเราผ่านการตรวจเลือกแล้ว และมีคุณสมบัติไม่สามารถเป็นทหารได้ ก็จบ ไม่ต้องมาอีกแล้ว สรุปก็คือ "รอดจากการเกณฑ์และการเป็นทหาร" นั่นเอง จะบอกว่าไอที่เขาเอามาพันแขนเนี่ยตอนดึงออกอย่างเจ็บ ไม่รู้ว่าจะต้องลูบน้ำหรืออะไรก่อนไหม แต่ผมดึงสด โอ้โห ขนร่วง น้ำตาไหลเลยจ้าาา มีภาพมาให้ดูด้วย
หมดปัญหาเรื่องนี้ไปได้ซะที เอาเวลาไปใช้ชีวิตกับการทำงาน กับอะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราจริงๆดีกว่า สำหรับใครที่ตามอ่านกันจนจบ ก็ขอขอบคุณด้วยนะครับ :)
ผมไปถึงที่จุดคัดเลือกตามที่กำหนดตอนประมาณ 8 โมงเช้า พร้อมหลักฐานสำคัญ 4 อย่าง
(1) บัตรประจำตัวประชาชน
(2) ใบสำคัญ สด.9
(3) หมายเรียกประจำปี 2561
(4) ใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
สละสิทธิ์ 534 เป็นการะบุว่าเราสละสิทธิ์ผ่อนผัน และจะเข้ารับการตรวจเลือกในปีนัั้น |
กว่าจะจบสิ้นกระบวนความของการขอสละสิทธิ์ผ่อนผันและเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกก็ใช้เวลาไปจนถึงประมาณเที่ยง ทุกอย่างดำเนินตามปกติ ก็คือใช้หลักฐาน 3 อย่างแรก มาตลอด จนกระทั่งเราเข้าสู่กระบวนการตรวจเลือกจริงๆ หลังจากได้รับการเรียกชื่อ ปั้มลายนิ้วมือ และนั่งรอการเรียกให้เข้าสู่จุดตรวจร่างกาย ไม่นานผมก็มาอยู่ที่จุดตรวจร่างกาย สำหรับจุดตรวจของผมจะมีนายทหารสอบถามว่าใครมีโรคประจำตัว หรืออะไรไหม จุดนี้ล่ะครับที่เราต้องแจกว่าเรามีใบรับรองแพทย์ เป็นโรคนั่นนี่ตามแต่บุคคล นายทหารก็จะนำเราไปตรวจกับหมอทหาร ซึ่งถ้าเรามีใบรับรองแพทย์จาก รพ. ที่สังกัดกองทัพ หมอทหารก็จะยึดตามความเห็นในใบรับรองแพทย์ อย่างของผมก็คือ "สายตาสั้นเกิน 8 ไดออปเตอร์ ถือว่าพิการตามกฎกระทรวง ...." เขาก็กรอกตามนั้น และเนื่องจากค่าสายตาดังกล่าวมันขัดต่อการรับราชการทหาร เป็นบุคคลประเภทที่ 4 หลังจากบันทึุกเอกสารเสร็จ เขาก็จะให้เราไปรอที่แถวบุคคลประเภทที่ 4 ก็ถือว่าเรียบร้อย
ป้ายที่นั่งของคนจำพวกที่ 4 ก็คือคนที่มีลักษณะพิการตามกฎกระทรวง ขัดต่อการรับราชการทหาร จะไม่สามารถเป็นทหารได้ตลอดชีวิต |
จากนี้ก็รอเรียกชื่อ ปล่อยตัว พร้อมกับได้ใบที่ระบุว่าเราผ่านการตรวจเลือกแล้ว และมีคุณสมบัติไม่สามารถเป็นทหารได้ ก็จบ ไม่ต้องมาอีกแล้ว สรุปก็คือ "รอดจากการเกณฑ์และการเป็นทหาร" นั่นเอง จะบอกว่าไอที่เขาเอามาพันแขนเนี่ยตอนดึงออกอย่างเจ็บ ไม่รู้ว่าจะต้องลูบน้ำหรืออะไรก่อนไหม แต่ผมดึงสด โอ้โห ขนร่วง น้ำตาไหลเลยจ้าาา มีภาพมาให้ดูด้วย
หมดปัญหาเรื่องนี้ไปได้ซะที เอาเวลาไปใช้ชีวิตกับการทำงาน กับอะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราจริงๆดีกว่า สำหรับใครที่ตามอ่านกันจนจบ ก็ขอขอบคุณด้วยนะครับ :)
8 ไดอ็อบเตอร์คือสั้นเท่าไหร่ครับ
ReplyDeleteเฮือก มาตอบช้าไปไหมนะ
ReplyDeleteมันคือ -800 ครับ (หรือ -8.0) นั่นเอง ถ้าสายตายาวก็จะเป็นค่า + แทนครับ
สามารถตรวจได้กี่โรคครับ ผมไปตรวจเบาหวานมา ขึ้น 150 รพ.รัฐ
ReplyDelete